ออกแบบ ติดตั้ง ปรับปรุง แก้ปัญหา ระบบบำบัดน้ำเสียโรงงาน ระบบหมุนเวียนน้ำ Reclycle Water การนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ Reuse Water อุปกรณ์ระบบบำบัดน้ำเสีย เครื่องกวาดตะกอนน้ำเสีย ถังตกตะกอนน้ำเสีย และอื่นๆแบบครบวงจร

รับออกแบบ ติดตั้ง ปรับปรุงแก้ไข ระบบบำบัดน้ำเสียโรงงาน หน่วยงานต่างๆอาทิ น้ำเสียชุมชนของเทศบาลขนาดใหญ่ โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ท โรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท  ให้ได้คุณภาพน้ำเสียตามมาตรฐาน สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานทั่วไป ระบบหมุนเวียนน้ำ Recycle Water การนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ Reuse Water โดยใช้เทคโลยี ระบบ MBR MF UF RO DI EDI SEDIMENTATION OZONE UV และระบบ FILTRATION แบบอื่นๆรวมถึงระบบฆ่าเชื้อโรคในน้ำ DISINFECTION SYSTEM

สนใจติดต่อ TEL 0811707576 / 0817324464

LINE ID : @436pxvgt

 

ระบบบำบัดน้ำเสียคือ

"ระบบบำบัดน้ำเสีย" หรือ Wastewater Treatment System คือกระบวนการในการทำความสะอาดน้ำเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น น้ำทิ้งจากบ้านเรือน โรงงาน หรือสถานประกอบการ เพื่อให้น้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วสามารถปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม หรือสามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ในบางวัตถุประสงค์ได

สาเหตุที่ทำให้น้ำเกิดการเน่าเสีย

น้ำเกิดการเน่าเสียเนื่องจากมีสารอินทรีย์ปริมาณมากสะสมอยู่ในน้ำ ซึ่งเมื่อสลายตัวจะใช้ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำจำนวนมาก ทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำขาดออกซิเจนและตายลง สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้น้ำเน่าเสีย มีดังนี้:

1. ของเสียจากกิจกรรมมนุษย์

  • น้ำเสียจากบ้านเรือน เช่น น้ำซักล้าง น้ำล้างจาน น้ำทิ้งจากห้องน้ำ ซึ่งมักมีไขมัน สารอินทรีย์ และเชื้อโรค

  • น้ำเสียจากอุตสาหกรรม มีทั้งสารเคมี โลหะหนัก สี และของแข็งละลายยาก

  • น้ำเสียจากการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และของเสียจากฟาร์มปศุสัตว์

2. การทิ้งขยะลงในแหล่งน้ำ

ขยะอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร ซากพืช ซากสัตว์ เมื่อย่อยสลายจะใช้ปริมาณออกซิเจนในน้ำมาก และเกิดกลิ่นเหม็น

3. การขาดการไหลเวียนของน้ำ

น้ำที่นิ่งหรือไหลเวียนช้า เช่น คูคลอง หนอง บึง จะมีโอกาสเน่าเสียง่ายกว่าน้ำที่ไหลแรง เช่น แม่น้ำ

4. การเติบโตของสาหร่าย (Algal bloom)

เมื่อมีสารอาหาร (เช่น ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส) สูง จะทำให้สาหร่ายเจริญเติบโตมากเกินไป เมื่อตายจะเกิดการย่อยสลาย ทำให้ค่า DO (Dissolved Oxygen) ในน้ำลดลง

5. ขาดการจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย

เมื่อไม่มีระบบบำบัดหรือมีแต่ไม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ น้ำเสียก็จะไหลลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง

หากต้องการออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียให้เหมาะสม ต้องพิจารณาค่า BOD, COD, TSS, DO, pH และปริมาณน้ำเสียเพื่อเลือกกระบวนการบำบัดที่เหมาะสมครับ

เพราะเหตุใดอาหารจึงเกิดการเน่าเสีย?

การเน่าเสียของอาหารเนื่องจากจุลินทรีย์เกิดจากการเจริญ (growth) ของ จุลินทรีย์ในอาหารหรือการปลดปล่อยเอนไซม์ของจุลินทรีย์ออกมาในอาหาร ลักษณะ บางอย่างที่สามารถสังเกตเห็นได้เมื่ออาหารชนิดต่าง ๆ เกิดการเน่าเสียขึ้น ก็คือ มี การเปลี่ยนแปลงสี กลิ่น รสชาติและเนื้อสัมผัส การสร้างเมือก การสะสมของก๊าซหรือฟองอากาศ และการปลดปล่อยของเหลวบางชนิดออกมา

  1. ระบบบำบัดน้ำเสียมีกี่แบบ

    ระบบบำบัดน้ำเสียสามารถแบ่งออกได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับหลักการทำงาน วัตถุประสงค์ และประเภทของน้ำเสียที่ต้องการบำบัด โดยทั่วไปสามารถแบ่งระบบบำบัดน้ำเสียออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้:

    1. ระบบบำบัดน้ำเสียทางกายภาพ (Physical Treatment)

    ใช้กระบวนการทางกายภาพในการแยกของแข็งหรือสิ่งสกปรกออกจากน้ำเสีย เช่น:

    • ตะแกรง (Screening): กรองเศษขยะขนาดใหญ่

    • การตกตะกอน (Sedimentation): แยกตะกอนหนักให้ตกลงสู่ก้นถัง

    • การลอยตะกอน (Flotation): ใช้อากาศทำให้ไขมันหรือของเบาลอยขึ้นมา


     2. ระบบบำบัดน้ำเสียทางเคมี (Chemical Treatment)

    ใช้สารเคมีในการปรับปรุงคุณภาพน้ำ เช่น:

    • การตกตะกอนด้วยสารเคมี (Chemical Precipitation): เช่น การใช้สารส้ม

    • การปรับสภาพ pH (Neutralization):

    • การออกซิเดชัน/รีดักชัน (Oxidation/Reduction): เช่น ใช้คลอรีน, โอโซน ฆ่าเชื้อหรือลดโลหะหนัก


     3. ระบบบำบัดน้ำเสียทางชีวภาพ (Biological Treatment)

    ใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย เช่น:

    • แบบใช้ออกซิเจน (Aerobic):

      • Activated Sludge

      • Oxidation Ditch

      • RBC (Rotating Biological Contactor)

      • SBR (Sequencing Batch Reactor)

    • แบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic):

      • Anaerobic Lagoon

      • UASB (Upflow Anaerobic Sludge Blanket)

      • Septic Tank


    อื่น ๆ (เพิ่มเติม)

    • ระบบผสม (Combined System): ใช้ทั้งชีวภาพ เคมี และกายภาพร่วมกัน

    • ระบบธรรมชาติ (Natural Treatment System): เช่น บ่อปรับเสถียร (Stabilization Pond), พื้นที่ชุ่มน้ำเทียม (Constructed Wetland)

       

      ประเภทของระบบบำบัดน้ำเสียทางชีวภาพแบ่งออกได้เป็นดังนี้
       
      ระบบบำบัดน้ำเสียทางชีวภาพสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่: 
       

      1. ระบบบำบัดแบบใช้อากาศ (Aerobic Treatment Systems)

      เป็นระบบที่ใช้ออกซิเจนช่วยในการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์ที่ต้องการออกซิเจน (aerobic bacteria) ตัวอย่างของระบบ ได้แก่:

      • Activated Sludge System (ระบบตะกอนเร่ง)

      • Trickling Filter (ระบบกรองแบบหยด)

      • Rotating Biological Contactor – RBC (ระบบจานหมุนชีวภาพ)

      • Oxidation Ditch (รางออกซิเดชัน)

      • Aerated Lagoon (บ่อเติมอากาศ)

      2. ระบบบำบัดแบบไม่ใช้อากาศ (Anaerobic Treatment Systems)

      ใช้จุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการออกซิเจน (anaerobic bacteria) ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ เช่น:

      • Septic Tank (ถังบำบัดน้ำเสียแบบถังเกรอะ)

      • Anaerobic Digester (ถังหมักไร้ออกซิเจน)

      • Upflow Anaerobic Sludge Blanket – UASB

      • Anaerobic Filter (ตัวกรองไร้อากาศ)

      นอกจากนี้ ยังมีระบบแบบ ผสม (Facultative Systems) เช่น บ่อผสมทั้งแบบใช้อากาศและไม่ใช้อากาศ ซึ่งเหมาะกับระบบขนาดเล็กหรือบ่อธรรมชาติ เช่น:

      • Stabilization Pond (บ่อบำบัดแบบธรรมชาติ)

       
     

ระบบบำบัดน้ำเสียโรงงานแบบเอ็มบีอาร์(Membrane Bio Reactor)

ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเอ็มบีอาร์ (MBR: Membrane Bio Reactor) เป็นเทคโนโลยีที่รวมกระบวนการ บำบัดทางชีวภาพ (Biological Treatment) เข้ากับ การกรองผ่านเยื่อเมมเบรน (Membrane Filtration) เพื่อให้ได้น้ำทิ้งที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการรีไซเคิลน้ำกลับมาใช้ใหม่

ค่ามาตรฐานการระบายน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยกำหนดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งและป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาตรฐานเหล่านี้ครอบคลุมพารามิเตอร์ต่าง ๆ ดังนี้:

  • ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH): ต้องอยู่ระหว่าง 5.5 ถึง 9.0

  • อุณหภูมิ: ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส

  • สี (Color): ไม่เกิน 300 เอดีเอ็มไอ (ADMI)

  • ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด (Total Dissolved Solids - TDS): ไม่เกิน 3,000 มิลลิกรัมต่อลิตร (กรณีระบายลงแหล่งน้ำทั่วไป)

  • ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids - TSS): ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี (Biochemical Oxygen Demand - BOD): ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • ความต้องการออกซิเจนทางเคมี (Chemical Oxygen Demand - COD): ไม่เกิน 120 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • ซัลไฟด์ (Sulfide): ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • ไซยาไนด์ (Cyanide): ไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • น้ำมันและไขมัน (Oil and Grease): ไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde): ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • สารประกอบฟีนอล (Phenolic Compounds): ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • คลอรีนอิสระ (Free Chlorine): ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ (Pesticides): ต้องตรวจไม่พบ

  • ไนโตรเจนทั้งหมด (Total Kjeldahl Nitrogen - TKN): ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อลิตร

  • โลหะหนักต่าง ๆ:

    • สังกะสี (Zinc): ไม่เกิน 5.0 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • โครเมียมเฮกซะวาเลนท์ (Hexavalent Chromium): ไม่เกิน 0.25 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • โครเมียมทั้งหมด (Total Chromium): ไม่เกิน 0.75 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • แคดเมียม (Cadmium): ไม่เกิน 0.03 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • ตะกั่ว (Lead): ไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • ทองแดง (Copper): ไม่เกิน 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • แมงกานีส (Manganese): ไม่เกิน 5.0 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • นิกเกิล (Nickel): ไม่เกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • เงิน (Silver): ไม่เกิน 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • เหล็ก (Iron): ไม่เกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • ปรอท (Mercury): ไม่เกิน 0.005 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • อาร์เซนิก (Arsenic): ไม่เกิน 0.25 มิลลิกรัมต่อลิตร

    • ซีลีเนียม (Selenium): ไม่เกิน 0.02 มิลลิกรัมต่อลิตร

โปรดทราบว่ามาตรฐานเหล่านี้อาจมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือเว็บไซต์ทางการของกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

 
 
Visitors: 126,734